ฝ่าเคอร์ฟิวออกไปตกปลา เจอเจ้าหน้าที่ตำรวจกระโดดน้ำหนี ดับสลด

          ช่วงเวลาประมาณเที่ยงของวันที่ 28 เดือนพฤษภาคมพศ 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองพัทยาพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยทางทะเลได้พยายามตามหาร่างผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำบริเวณแถวสะพานท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮายซึ่งจากการพบศพของผู้เสียชีวิตนั้นไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายซึ่งสันนิษฐานจากศพว่าจมน้ำเสียชีวิต  จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่าผู้เสียชีวิตชื่อว่านายบุญถิ่นซึ่งภรรยาของผู้เสียชีวิตนั้น

ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าสามีของเธอนั้นเคยทำงานเป็นผู้ช่วยกุ๊กโดยทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่พัทยา ก่อนที่จะประสบกับปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรน่า ซึ่งหลังจากที่มีไวรัสกรุณาเข้ามาร้านอาหารก็ปิดตัวลงทำให้สามีของเธอนั้นต้องตกงานโดยตลอดระยะเวลา 2 เดือนนั้น

ไม่สามารถหางานใหม่ทำได้เลยหลังจากที่รัฐบาลได้มีการประกาศขยายเวลาคือฟิวส์สามีของเธอนั้นก็ออกหาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลาแต่เนื่องจากเวลาเคอร์ฟิวนั้นเป็นช่วงเวลา 23:00 น 4:00 น. แต่สามีของเธอนั้นจะออกมาตกปลากันแต่ช่วงเวลาประมาณ 03:00 น. ทำให้ในวันดังกล่าวนั้นระหว่างที่สามีของเธอออกมาตกปลาพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพอดีเป็นเกรงว่าจะมีความผิดที่อยู่ข้างนอกบ้านในช่วงเวลาเคอร์ฟิวสามีของเธอจึงได้กระโดดน้ำหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจ

แต่อาจจะเกิดปัญหาระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นอาจจะเป็นตะคริวจึงให้เกิดเหตุเศร้าสลดในครั้งนี้ขึ้นโดยภรรยาของผู้เสียชีวิตยังบอกอีกด้วยว่าในวันที่เกิดเหตุนั้นเธอเห็นว่า 7:00 นแล้วแต่สามีของเธอนะยังไม่กลับบ้านสักทีซึ่งปกติแล้วสามีของเธอจะต้องกลับมาบ้านช่วงเวลาประมาณสัก 05:00 น.ถึง 6:00 น

ด้วยความที่เธอเป็นห่วงสามีจึงได้เดินออกไปตามหาสามีบริเวณที่สามีเคยตกปลาอยู่เป็นประจำแต่เธอเจอแค่รองเท้าสามีของเธอวางอยู่ตรงบริเวณโป๊ะเรือเท่านั้น  เธอจะได้เดินทางไปสอบถามกับพนักงานที่ทำงานอยู่ตรงบริเวณท่าเรือซึ่งเขาบอกว่าเขาเห็นสามีของเธอกระโดดน้ำหนีตำรวจหลัง

จากนั้นก็ว่ายน้ำแอบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เดินทางมาตรวจ เธอไม่ได้คิดอะไรคิดว่าสามีของเธอนั้นน่าจะเดินทางกลับบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอจะได้กลับไปรอสามีที่บ้านอีกรอบนึงแต่หลังจากเธอกลับถึงบ้านไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจก็โทรมาบอกเธอว่าพบกระเป๋าของสามีของเธอลอยน้ำอยู่รวมถึงมีร่างของสามีของเธอลอยอยู่ในน้ำทำให้ทราบว่าสามีของเธอนั้นเสียชีวิตแล้ว

       เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะว่าชายที่เสียชีวิตนั้นต้องการหาปลาไปขายเพื่อนำเงินมาเลี้ยงครอบครัวแต่บังเอิญว่าออกไปหาปลาในช่วงเวลาที่เคอร์ฟิว จึงทำให้กลัวเจ้าหน้าที่จะจับกุมจำเป็นต้องกระโดดน้ำหนีเลยทำให้เสียชีวิตดังกล่าวซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเพราะว่าถ้าเกิดเขาเลือกได้เขาคงไม่ออกมาตกปลาตั้งแต่ช่วงเวลา 03:00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่คนฉันยังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่แต่เนื่องจากเลิกไม่ได้เลยต้องออกมาหาเพื่อที่จะได้มีเงินมาเลี้ยงครอบครัวนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน จ่ายจริง

ฝันว่ามีคนแก่มาชี้ทาง ตื่นมาทำตามที่ฝันไปเจอของดีเป็นเห็ดยักษ์

       นายอ้าหลีม  ชาวบ้านบ้านพระราชทานเทิดไท้องค์ราชันจังหวัดกระบี่ ได้ค้นพบเห็ดยักษ์  มีขนาดใหญ่ซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนโดยค้นพบที่บริเวณดินสวนปาล์มน้ำมันในขณะที่เขานั้นกำลังดูวัวของเขาออกไปกินหญ้า จำเรื่องราวที่เขาพบเห็ดยักษ์นั้นแพร่กระจายเป็นข่าวใหญ่โตทางด้านนักข่าวจึงได้ลงไปในพื้นที่เดินทางไปที่บ้านของนาย อ้าหลีม เพื่อไปขอดูเห็ดยักษ์ 

ซึ่งเห็ดที่นักข่าวไปเห็นนั้นมีขนาดที่ใหญ่มากจากการที่นักข่าวได้ไปทำการลองวัดขนาดดูพบว่าเห็ดที่เก็บมาได้นั้นมีขนาดใหญ่มากโดยเปรียบเทียบกับเห็ด 1 ดอกเท่ากับเห็ดธรรมดาทั่วไปถึง 10 ดอกด้วยกันเลยทีเดียวซึ่งเห็ดที่ นายอ้าหลีม เก็บมาได้นั้นมีจำนวนหลายดอกมากแต่ละดอกก็มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันออกไป

โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 20 cm ถึง 23 cm และยังมีความสูงเกือบประมาณ 1 ฟุตเลยทีเดียว ชาวบ้านในพื้นที่พากันตื่นเต้นยินดีกันเป็นอย่างมากมีการพูดถึงเรื่องการเจอเห็ดยักษ์นี้กันไปต่างๆนานาแต่ส่วนใหญ่แล้วทุกคนก็คิดว่าเห็ดยักษ์นี้เป็นเห็ดโชคลาภซึ่งทางนายอ้าหลีม

ได้ออกมาบอกถึงสาเหตุของการที่พบเหตุในครั้งนี้ว่าตนเองนั้นนำวัวไปกินหญ้าตามปกติแต่คืนก่อนที่จะเจอเห็ดนั้นตนเองฝันว่ามีชายชราคนหนึ่งเดินมาหาพร้อมกับบอกให้ตนเองนั้นเดินไปทางทิศใต้ของบ้านโดยบอกว่าทิศนั้นถ้าตนเองเดินไปแล้วจะเจอกับของดีซึ่งหลังจากที่นายอ้าหลีมตื่นมาจากความฝันนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร

เพราะคิดว่าเป็นความฝันปกติทั่วไปแต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ตื่นนอนมาแล้วนายอ้าหลีมก็ได้มีการจูงวัวออกไปกินหญ้าตามปกติซึ่งได้เดินไปทางทิศที่ชายในฝันบอกพอดีและเดินออกไปเพียงแค่ประมาณ 200 เมตรเท่านั้น นายอ้าหลีมก็มองเห็นว่ามีเห็ดขนาดใหญ่มากโทรออกมาจากบริเวณโพรงใต้ดิน

ซึ่งบริเวณดังกล่าวนั้นกำลังเป็นที่ปรับหน้าดินเพื่อที่จะทำการก่อสร้างรีสอร์ทซึ่งจุดดังกล่าวนั้นเป็นจุดที่ห่างจากน้ำพุร้อนเค็มเพียงแค่ประมาณ 500 เมตรเท่านั้น

เมื่อเห็นว่ามีเห็ดขนาดใหญ่มากขนาดนี้มันเองก็ตื่นเต้นดีใจและได้เก็บเห็ดอันเก่ากลับมาที่บ้าน  นายอ้าหลีมยังกล่าวกับนักข่าวอีกด้วยว่าตั้งแต่เล็กจนโตจนถึงตอนนี้ก็อายุมา 65 ปีแล้วทั้งชีวิตเขาไม่เคยที่จะพบเห็ดอะไรที่จะมีขนาดใหญ่แบบนี้มาก่อนเลย

ซึ่งเขาเปรียบเทียบขนาดของเด็กกับหัวเห็ดว่าเห็ดยังมีขนาดใหญ่มากกว่าหัวเด็กด้วยซ้ำไปชาวบ้านเชื่อกันว่าการที่มีเห็ดขนาดใหญ่มากขึ้นในบริเวณหมู่บ้านนี้จะทำให้มีแต่โชคลาภเข้ามาอย่างไรก็ตามตอนนี้มีหลายคนออกมาพูดถึงเห็ดชนิดนี้ว่าเป็นเห็ดตีนแรดแต่อย่างไรก็ตามต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญดูอีกทีนึง

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน ดีที่สุด 2020

ชายไทยกลับจากต่างประเทศโพตส์แชร์ความประทับใจ

ชายไทยกลับจากต่างประเทศโพตส์แชร์ความประทับใจประเทศไทยกักตัว 14 วัน ดูแลอย่างดี

         ผ่านมาหลายเดือนแล้วกับการที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับโรคระบาด ไวรัสโควิด-19 ซึ่งหลายคนก็พยายามปรับตัวได้เป็นอย่างดีจนผลที่ออกมาในตอนนี้เป็นที่น่าพอใจว่าจำนวนผู้ติดเชื้อนั้นมีลดลงและสามารถควบคุมตัวผู้ติดเชื้อไม่ให้มีมากขึ้นหากไม่มีการเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้วอย่างไรก็ดีปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่ารัฐบาล

จะมีการผ่อนปรนให้ประชาชนออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติทุกคนก็ยังต้องมีการรักษากฎระเบียบของรัฐบาลที่มีการออกมาควบคุมไว้ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างระหว่างกันซึ่งแต่ละคนก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติปัจจุบันทางรัฐบาลเริ่มมีการปลดล็อค

ที่มีการห้ามการเดินทางระหว่างประเทศตอนนี้ก็เริ่มเปิดให้คนไทยที่อยู่ต่างประเทศสามารถเดินทางเข้ามาที่ประเทศไทยได้แล้วและขั้นตอนการดูแลเพื่อไม่ให้คนต่างประเทศนำเชื้อโรคกับมาให้กับคนไทยเพิ่มมากขึ้นดังนั้นขั้นตอนนี้จึงมีขั้นตอนการปรับตัวก่อนที่จะมีการปล่อยตัวให้กับบ้าน

ซึ่งขั้นตอนนี้เองที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศมาเลเซียได้มีการมาโพสต์ Facebook เพื่อแชร์ประสบการณ์ที่เขาได้เจอในขณะที่เดินทางกลับมาจากประเทศมาเลเซียแล้วก็มาถูกกักตัวที่ประเทศไทยซึ่งเขาบอกได้เลยว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของไทยนั้นได้มาตรฐานและรัดกุมและเค้ารู้สึกเป็นขั้นเป็นตอนดีรวมถึงความรู้สึกที่เขาภูมิใจมาก

ที่ได้เกิดมาในประเทศไทยและภูมิใจที่ประเทศไทยนั้นดูแลประชาชนของตนเองเป็นอย่างดีหากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้วซึ่งเขาได้มีการโพสต์เปรียบเทียบตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ต่างประเทศตอนที่ต้องถูกกักตัวและไม่สามารถเดินทางกลับมาประเทศไทยได้นั้นขนาดนั้นเขาอยู่ที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลานานถึง 3 เดือนด้วยกันซึ่งสิ่งที่เขาอยู่ได้ก็คืออยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆติดทะเลถึงแม้เขาจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

แต่มันก็ดูน่าเบื่อจนเกินไปจนในที่สุดเขาก็สามารถทำเรื่องขอกลับมาประเทศไทยได้ซึ่งเขาเปรียบเทียบว่าระหว่างเจ้าหน้าที่สนามบินของประเทศมาเลเซียนั้นไม่ได้มีการป้องกันเชื้อโรคใดๆเลยแม้แต่หน้ากากอนามัยก็ไม่ใส่ในขณะที่กลับมาถึงเมืองไทยนั้นเจ้าหน้าที่ของเมืองไทยมีการใส่ควบคุมเชื้อโรคอย่างดี

ตั้งแต่หัวจดเท้ารวมถึงมีการแยกตึกกล่องและให้นี่นักท่องเที่ยวที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเว้นระยะห่างระหว่างกันเป็นอย่างดีรวมถึงมีคอยเจ้าหน้าที่คอยให้ความดูแลแนะนำและพาไปส่งยังจุดต่างๆจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เขาได้เข้าไปห้องพักที่มีการเตรียมการเอาไว้ให้สำหรับการกักตัวนักท่องเที่ยว

ที่เดินทางจากต่างประเทศ 14 วันนั้นเรารู้สึกประทับใจตลอดตั้งแต่เข้ามาสู่สนามบินสุวรรณภูมิจนถึงขั้นตอนออกจากสนามบินและเข้าที่พักในการปรับตัวเขาบอกได้เลยว่าประเทศที่เขาจะออกมานั้นไม่มีใครดูแลประชาชนของตนเองได้ดีเท่ากับประเทศนี้แน่นอน

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เว็บพนัน ไม่ผ่านเอเย่นต์

ต้องการเงินบริจาค 20 ล้านบาท

ชาวโซเชียลสงสัยแม่ปุ๊กคุณแม่ของน้องอมยิ้มและน้องอิ่มบุญ อาจจะวางยาลูกเพื่อต้องการเงินบริจาค 20 ล้านบาท

    กำลังเป็นกระแสดราม่ากันอยู่ในขณะนี้เมื่อมีผู้ใช้ Facebook รายนึงมีการตั้งข้อสงสัยถึงเงินบริจาคที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณปีพศ 2560 ชาวโซเชียลได้พากันบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าแม่ปุ๊กซึ่งเธอออกมารับบริจาคกับทางลูกเพจโดยเธอเล่าถึงความจำเป็นว่าเธอนั้นมีลูกอยู่ 2 คนชื่อน้องอมยิ้ม

และน้องอิ่มบุญและเธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ไม่มีสามีคอยดูแลในขนาดนั้นเธอพบปัญหาว่าลูกสาวก็คือน้องอมยิ้มนั้นมีการป่วยด้วยอาการประหลาดและเธอไม่มีเงินที่จะพาลูกไปรักษาเธอจึงได้ทำสินค้าขึ้นมาเพื่อให้ชาวโซเชียลได้อุดหนุนเพื่อที่จะได้นำเงินดังกล่าวนั้นไปทำการรักษาลูกสาว

สำหรับอาการของน้องอมยิ้มนั้นมีอาการอาเจียนเป็นเลือดและเลือดออกจากปากอย่างไรก็ดีหลังจากที่มีการประกาศออกไปชาวโซเชียลต่างก็พากันสงสารและอุดหนุนกันเป็นจำนวนมากซึ่งมีการคาดการณ์กันว่ายอดการสั่งซื้อของผ่านออนไลน์ของแม่ปุ๊กได้เงินมากไปทั้งสิ้นรวมถึง 20 ล้านบาทเลยทีเดียว

แต่หลังจากนั้นช่วงประมาณปีพศ 2562 แม่ปุ๊ก็ออกมาประกาศผ่านทาง facebook ว่าอาการของน้องอมยิ้มนั้นไม่ดีขึ้นและปัจจุบันน้องอมยิ้มเสียชีวิตแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปีพศ2562 นี่เองซึ่งในตอนนั้นแม่ปุ๊กได้ประกาศออกทาง Facebook ว่าจะไปทำการถือศีลเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กับน้องอมยิ้ม

แต่หลังจากนั้นช่วงประมาณปีนี้เองแม่ปู๊กก็ออกมาประกาศผ่านทาง facebook อีกครั้งหนึ่งว่าลูกสาวอีกคนหนึ่งก็คือน้องอิ่มบุญนั้นตอนนี้ก็มีอาการป่วยเหมือนกันกับน้องอมยิ้มซึ่งทั้งนี้แม่ปุ๊ดก็ขอรับบริจาคเงินจากชาวโซเชียลเหมือนเดิมแต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีคนช่วยเหลือซื้อสินค้าแล้วแต่ไม่ยอมส่งสินค้าไปให้ทำให้มีคนไปแจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกง

หลังจากนั้นเมื่อมีคนโพสต์ Facebook เกี่ยวกับเรื่องของแม่ปุ๊กโกงสินค้าไม่ยอมส่งสินค้าให้ก็มีคนออกมาบอกว่าเสื้อที่น้องอมยิ้มเสียชีวิตนั้นมีการตรวจพบสารพิษบางอย่างในร่างกายของน้องซึ่งมีคนตั้งข้อสังเกตว่าแม่ปุ๊กอาจจะเป็นคนวางยาน้องอมยิ้มก็เป็นได้

เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลจากโซเชียลพบว่าน้องอมยิ้มนั้นไม่ใช่ลูกแท้ๆของแม่ปุ๊กแบบเป็นเด็กที่มีการรับมาเลี้ยงและในครั้งนี้ก็อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่แม่ปุ๊กวางยาลูกตนเองเพราะต้องการเงินบริจาคจากชาวโซเชียลอย่างไรก็ดีทางคุณพ่อของแม่ปุ๊กได้ออกมายืนยันว่าน้องอิ่มบุญนั้นเป็นลูกของแม่ปุ๊กจริงๆ

ส่วนน้องอมยิ้มนั้นเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยงในขณะเดียวกันนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการรับตัวน้องอิ่มบุญเพื่อไปรักษาตัวและให้อยู่ในความดูแลของมูลนิธิส่วนตัวคุณแม่ปุ๊กนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการแจ้งความดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงซึ่งหลังจากที่แม่ปุ๊กรู้ว่ามีคนมาขุดคุ้ยเรื่องการเสียชีวิตของน้องอมยิ้มและให้ข้อมูลว่าแม่ปุ๊กอาจจะเป็นคนที่วางยาน้องอมยิ้มทำให้เธอไม่พอใจและได้มีการแจ้งความกับต่อคนที่ให้ข้อมูลใส่ร้ายเธอในโลกออนไลน์แล้ว

 

สนับสนุนโดย  sagame666

มนุษย์ป้าอุ้มหมาเข้าเซเว่น

มนุษย์ป้าอุ้มหมาเข้าเซเว่นพนักงานห้ามแล้วแต่กลับไม่พอใจขู่จะไล่ออกให้ตกงาน 

         มนุษย์ป้าอุ้มสุนัขสุดรักเข้าร้านเซเว่นถูกพนักงานร้านเซเว่นตักเตือนไม่เอาสุนัขเข้าแต่มนุษย์ป้าไม่พอใจด่ากับพนักงานพร้อมบอกน้องรู้จักพี่คนนี้น้อยไปที่สำคัญเธอยังยืนยันกุ้งหมาเข้าร้านเซเว่นโดยบอกว่าทำแบบนี้มาเป็น 10 ปีแล้วไม่เคยมีใครว่าอะไรเมื่อคลิปนี้หลุดออกไปป้าก็โดนชาวโซเชียลวิจารณ์ยับ

        กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์เป็นอย่างมากเมื่อมีคลิปถูกโพสต์ลงใน Facebook เกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ป้านีเข้าไปโวยวายพนักงานร้านเซเว่นจากกรณีที่พนักงานทำตามกฎไม่อนุญาตให้นำสุนัขเข้ามาในร้านโดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 เดือนพฤษภาคมปีพศ. 2563

ในคลิปจะเห็นว่าเป็นบรรยากาศของร้านเซเว่นแห่งหนึ่งซึ่งผู้โพสต์ไม่ได้ระบุว่าเป็นสาขาไหนแต่จะเห็นว่าภายในคลิปนั้นมีการแอบถ่ายหญิงคนหนึ่งซึ่งนุ่งกระโปรงยีนส์ใส่เสื้อสีเหลืองกำลังอุ้มสุนัขและกำลังต่อว่าพนักงานร้านเซเว่นโดยเธอบอกว่าเธอเคยเอาสุนัขเข้ามาในร้านนี้ทุกครั้งที่มาซื้อของไม่เคยมีใครว่าเธอมาก่อน

และเธอยืนยันว่าเธอจะเอาสุนัขเข้าร้านเซเว่นให้ได้และเธอไม่พอใจพนักงานที่มาพูดกับเธอแบบนี้เธอบอกว่าเธอไม่อยากมีเรื่องกับใครแต่ถ้าเกิดว่าใครอยากจะมีเรื่องกับเธอเธอจะเล่นงานให้ถึงที่สุดจะเอาให้โดนออกจากงานให้ได้โดยในคลิปเธอยังมีการระบุอีกด้วยว่าพนักงานพูดจาไม่ดีกับเธออีกทั้งยังมีการขึ้นเสียงใส่เธอ

เพราะฉะนั้นหากว่าเธอร้องเรียนไปที่บริษัท 7-eleven พนักงานคนนี้จะต้องโดนไล่ออกแน่ๆซึ่งเธอยืนยันอีกว่าเธอเข้าเซเว่นมาเป็นสิบๆปีแล้วไม่เคยมีพนักงานคนไหนห้ามให้เธอเอาสุนัขเข้ามาในเซเว่นมาก่อนและเมื่อเธอด่าพนักงานเซเว่นจบเรียบร้อยแล้วพรุ่งนี้ทักเข้ามาเดินเลือกซื้อของในเซเว่นอย่างสบายใจ

หลังจากคลิปนี้มีการถูกเผยแพร่ออกไปชาวโซเชียลก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำและพฤติกรรมของมนุษย์ป้าคนนี้โดยเธอไม่เคยสนใจกฎระเบียบของสังคมอีกทั้งยังอวดอ้างว่าจะไล่พนักงานออกทำให้หลายคนรับไม่ได้กับพฤติกรรมของเธอและพากันต่อว่ากับสิ่งที่เธอได้กระทำ

ซึ่งในคลิปจะมีการถ่ายเห็นหน้าเธอเป็นบางครั้งด้วยทำให้คิดว่าต่อจากนี้ไปเธอคงอาจจะไม่กล้าสู้หน้าเซเว่นร้านนี้อีกเลยก็ได้หลังจากที่เรื่องราวของเธอเป็นข่าวดังใหญ่โตเป็นนักข่าวได้ไปสัมภาษณ์เจ้าของ Facebook ที่มีการนำคลิปมาเผยแพร่ซึ่งเธอก็เล่าเหตุการณ์เหมือนที่ระบุในคลิปวีดีโอ

อีกทั้งเธอยังรอบเพิ่มเติมอีกด้วยว่าป้าคนนั้นไม่ใช่เพียงแค่จะดุด่าพนักงานเซเว่นเท่านั้นแต่มนุษย์ป้าคนนั้นยังหันมาที่เธอแล้วใช้ให้เธอยกน้ำไปไว้ที่รถของเขาด้วยจำนวน 5 แพ็คเมื่อเธอบอกมนุษย์ป้าคนนั้นว่าเธอไม่ใช่พนักงานเซเว่นแต่มนุษย์ป้าคนนั้นกลับกันมาทางเธอแล้วด่าเธอว่าไม่มีมารยาท

สำหรับสิ่งที่เธอต้องถ่ายคลิปวีดีโอครั้งนี้ไว้เพราะว่าเธอรู้สึกสงสารพนักงานเนื่องจากพนักงานหญิงคนนั้นถูกมนุษย์ป้าด่าจนร้องไห้ทำอะไรไม่ถูกและเธอเห็นว่าสิ่งที่มนุษย์ป้าคนนั้นทำเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  ติดต่อ bk8

ถูกกระสุนปืนยิงดับ

ลูกสะใภ้เข้าไปห้ามพ่อสามีกลับลูกชายทะเลาะกันถูกกระสุนปืนยิงดับ

         เกิดเหตุคนถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านหลังหนึ่งไม่มีเลขที่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลาเกิดเหตุนั้นประมาณ 19.30 น. เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากว่าพ่อกับลูกชายคือนายแหนบและนายนิรันดร์สองพ่อลูกมักจะทะเลาะกันเป็นประจำทุกวันซึ่งเป็นที่อิจฉาละอายใจของชาวบ้านเป็นอย่างมากโดยวันเกิดเหตุนั้นช่วงเช้านายแหนบและนายนิรันดร์ก็ยังคงทะเลาะกันตามปกติ

โดยในวันนี้นายแหนบทนไม่ไหวจึงได้มีการขับไล่นายนิรันดร์ให้พาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่นแต่ในนี้มันไม่ยอมไปทำให้นายแหนบไม่พอใจจึงได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่ช่วงเช้าหลังจากนั้นเมื่อช่วงเวลาค่ำนายแนบได้กลับมาที่บ้านอีกครั้งหนึ่งและเมื่อมาถึงบ้านเขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรได้มีการเจาะปืนที่เตรียมมาใส่ลูกชายทันทีแต่บังเอิญว่ากระสุนด้านทำให้ลูกปืนไม่ออกจากกระสุนเป็นเหตุให้นายนิรันดร์เข้าไปทำการแย่งปืนจากพ่อของตนเอง

ซึ่งระหว่างที่มีการแจ้งเตือนกันอยู่นั้นผู้เสียชีวิตก็คือนางสาวพัชรีซึ่งเป็นภรรยาของนายนิรันดร์มาเห็นเข้าจึงได้เข้าไปทำการช่วยเหลือและห้ามปรามสองพ่อลูกไม่ให้ทะเลาะกันรวมทั้งจะแย่งปืนมาจากทั้งสองพ่อลูกจนเกิดกระสุนปืนดังขึ้น 1 นัดหลังจากนั้นพบว่าผู้ที่ถูกกระสุนปืนคือนางสาวพัชรีซึ่งเธอถูกกระสุนยิงเข้าที่หน้าอกทะลุลำคอนอนหายใจรวยรินหลังจากที่นายนิรันดร์และนายแหนบเห็นว่านางสาวพัชรีถูกอาวุธปืนก็พากันโยนปืนทิ้งในนั้นวิ่งหนีออกจากบ้านไปสวนนายนิรันดร์นั้น

ได้แจ้งความให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำรถมารับตัวนางพัชรีไปส่งโรงพยาบาลแต่ไปยังไม่ทันถึงโรงพยาบาลนางพัชรีทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงเสียชีวิตระหว่างทางซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึงนายนิรันดร์ก็ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเรื่องที่ทะเลาะกับพ่อจนเกิดมีปากเสียงกันและนำมาซึ่งการยิงกันในครั้งนี้โดยชาวบ้านที่อยู่ในละแวกดังกล่าวเป็นพยานให้ได้ว่าทั้งพ่อและลูกคู่นี้ต่างทะเลาะกันทุกวันจนชาวบ้านเบื่อหน่ายกันเป็นแถว สำหรับเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภขนอมกำลังเร่งติดตามตัวในแหนบมาทำดีต่อไป

     เรื่องนี้ถ้าหากว่าลูกสะใภ้ไม่เข้ามายุ่งก็คงจะไม่ถูกกระสุนปืนจนทำให้ถึงแก่ความตาย สำหรับเรื่องนี้ความผิดนั้นก็เกิดขึ้นกับทั้งสองคนไม่ว่าจะเป็นสามีของนางพัชรีเองหรือแม้แต่พ่อสามีของนางพัชรีก็ตามเพราะทั้งคู่มีการแย่งปืนกันจึงทำให้ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนลั่นกระสุนใส่นางพัชรีซึ่งต้องรอหลักฐานจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจหาคราบเขม่าดินปืนอีกครั้งหนึ่งจะได้นำคนร้ายมาลงโทษให้ได้

 

 

สนับสนุนโดย  bk8

เด็ก 1 ขวบถูกต้นทุเรียนขนาดใหญ่ล้มทับ

เด็ก 1 ขวบถูกต้นทุเรียนขนาดใหญ่ล้มทับสุดเวทนาครอบครัวไม่มีเงินพาไปเผาที่บ้านเกิดเพราะมีเงินติดตัวแค่เพียง 70 บาทเท่านั้น 

       เมื่อวันที่ 15 เดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2563 มีเหตุการณ์เด็ก 1 ขวบ 10 เดือนถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับเสียชีวิตและถูกส่งตัวมาไว้ที่โรงพยาบาลแต่ทางญาติของเด็กผู้หญิงเสียชีวิตนั้นไม่สามารถนำเด็กออกจากโรงพยาบาลได้เพราะไม่มีเงินทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการไปตะเวนหาขอยืมโลงศพตามวัดต่างๆเพื่อมาให้ทางญาติของเด็กได้นำร่างของเด็กบรรจุโลงศพและนำไปประกอบพิธีทางศาสนา

ซึ่งทางญาติของเด็กเองตั้งใจที่จะนำร่างของเด็กชายไปทำเผาที่บ้านเกิดที่จังหวัดนครพนมแต่เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนมีเงินติดตัวแค่เพียง 70 บาทเท่านั้นจึงไม่สามารถนำร่างของเด็กชายเดินทางไปต่างจังหวัดได้ชาวบ้านที่ทราบเรื่องจึงแนะนำว่าให้เผาร่างของเด็กชายที่จังหวัดชุมพรนี้ก่อนแล้วเมื่อมีเงินค่อยกลับไปบ้านแล้วนำกระดูกของเด็กชายไปประกอบพิธีทางศาสนาอีกครั้งหนึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ยายของเด็กชายที่เป็นผู้เสียชีวิตเราให้กับทางเจ้าหน้าที่ฟังว่าครอบครัวมีฐานะยากจน

จึงได้เดินทางมาหางานทำที่จังหวัดชุมพรซึ่งผู้เป็นหญ้านั้นได้ทำงานอยู่ในสวนทุเรียนและมีอาชีพเก็บทุเรียนหลังจากที่ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วย่าจึงได้ชวนเด็กๆมาปีนต้นสะตอเพื่อเก็บไว้เป็นอาหารในช่วงเย็นซึ่งก็ตอนนี้อยู่ใกล้กับบริเวณภูเขาแต่ในช่วงเวลานั้นหลานชายเกิดปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำใดจึงได้พาไปเข้าห้องน้ำที่ตรงบริเวณใต้ต้นมังคุดหลังจากนั้นก็พากันกลับมาตรงใต้ต้นสะตออีกครั้งหนึ่ง

แต่อยู่ดีๆยายก็ได้ยินเสียงดังเปรี้ยงหลังจากนั้นมือของหลานที่กุมมือของยายอยู่อยู่ๆก็หลุดออกไปเหมือนมีใครมากระชากและเมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่ามีต้นไม้ที่เป็นต้นทุเรียนขนาดใหญ่ล้มทับร่างของหลานชายอยู่จึงได้ตะโกนให้คนงานคนอื่นๆตามกันมาช่วยแต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของหลานชายเอาไว้ได้เพราะต้นทุเรียนนั้นมีขนาดที่ใหญ่มากๆทำให้หลานชายนั้นเสียชีวิตค่าที่ซึ่งทางด้านยายของหลานนั้นมีเงินติดตัวแค่เพียง 70 บาทเท่านั้น

จึงไม่สามารถที่จะนำร่างของหลานชายไปจัดพิธีเผาศพที่บ้านเกิดของหลานได้จึงได้ทำเพียงแค่จัดพิธีเผาศพที่วัดในจังหวัดชุมพรนี้โดยตั้งใจจะไปเผาที่วัดแต่ก็มีปัญหาว่าไม่มีเงินพอที่จะซื้อโลงศพให้หลานทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการไปหายืมรวมส่งมาให้ซึ่งก็มีคนใจดีที่เป็นเจ้าของโรงศพได้ให้ยืมโลงศพที่เป็นโรงแอร์มาใช้ในการประกอบพิธีและได้เจ้าของสวนทุเรียนที่ออกมาช่วยเหลือด้วยการจ่ายค่าจัดงานศพในครั้งนี้ให้

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8 casino

อดีตนางเอกตกอับ ตอนนี้ทั้งพิการและยังมาโดนลูกทิ้ง

             จากกรณีที่นักแสดงคุณบิณฑ์บรรลือฤทธิ์และคุณเอกพันธ์บรรลือฤทธิ์พร้อมทั้งด้วยทีมงานของเขาที่เป็นมูลนิธิร่วมกตัญญูได้เดินทางไปยังตามบ้านที่เป็นชุมชนต่างๆเพื่อนำเงินไปแจกครอบครัวละ  500 บาทปลื้มพวกเขาต้องการแจกเงินให้กับคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบไวรัสโคโรน่า

โดยคุณวินและคุณเอกพันธ์และทีมงานของเขานั้นได้ทำโครงการนี้กันมาเกือบเดือนแล้วซึ่งชาวบ้านต่างก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขาตั้งหลายชุมชนแล้วเช่นเดียวกันโดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมปีพศ 2563 คุณบิณฑ์บรรลือฤทธิ์และเอกพันธ์บรรลือฤทธิ์ได้เดินทางไปที่ชุมชนแห่งหนึ่ง

ซึ่งก็ทำเหมือนทุกครั้งนั่นก็คือเพราะประตูตามบ้านเรือนของชาวบ้านเพื่อนำเงินไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านครอบครัวละ 500 บาทเช่นเดิมแต่ในวันนี้เขาได้ไปเจอครอบครัวหนึ่งซึ่งได้รับผลกระทบและเมื่อเห็นหน้าผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้นก็ทำให้คุณเป็นและคุณเอกพันธ์จำได้ว่าป้าคนดังกล่าวนั้นคือนางวีณา

ซึ่งเธอเคยเป็นอดีตนางเอกหนัง เรื่องแม่ศรีไพรซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่โด่งดังมากในอดีตโดยนางวีณาได้ให้ข้อมูลกับทางคุณบินและคุณเอกพันธ์ว่าในสมัยก่อนนั้นที่เป็นนางเอกก็มีเงินเลี้ยงดูตนเองและช่วงที่มีตังค์ก็อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯในโซนย่านซอยอารีย์ซึ่งเป็นของที่มีคนรวยอยู่หนาแน่น

โดยนางวีณานั้นเป็นนางเอกหนังที่ดังในช่วงปี พ.ศ. 2514 แต่หลังจากนั้นเมื่อความดังลดลงไม่มีคนจ้างเธอแสดงหนังเธอจำเป็นต้องผันตัวเองมาอยู่ในชุมชนดังกล่าวซึ่งเป็นชุมชนแออัดแล้วอยู่ที่นี่มานานถึง 8 ปีแล้วโดยครั้งแรกนั้นเธอเดินทางมาอยู่ที่นี่พร้อมกับลูกสาวของเธอแต่หลังจากนั้นลูกสาวเธอได้ย้ายออกไป

เพื่อไปหางานทำแต่ก็ยังคงส่งเสียเลี้ยงดูเธอด้วยการส่งเงินมาให้ใช้เดือนละประมาณ 3,000 ถึง 4,000 บาทแต่พอมีเหตุการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่าเกิดขึ้นลูกสาวของเธอก็ไม่ติดต่อกลับมาหาเธออีกเลยเคยติดต่อกลับไปแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพียงลำพังหนังฆาตกรรมปาก

เนื่องจากตัวเองนั้นก็ขาขาดเพราะเพิ่งไปตัดขามาเนื่องจากเป็นโรคเบาหวานแต่ยังมีหนี้สินพี่ไปยืมหนี้นอกระบบมารวมถึงตอนนี้เธอเองก็ค้างค่าเช่าห้องมานาน 3 เดือนแล้วอย่างไรก็ตามทางทีมงานของคุณบิณฑ์บรรลือฤทธิ์และคุณเอกพันธ์บรรลือฤทธิ์ได้มีการทดลองโทรไปเบอร์ที่คุณวีณามีการให้ไว้

โดยบอกว่าคือเบอร์ของลูกสาวแต่เมื่อโทรไปปลายทางรับสายกลับปฏิเสธว่าไม่รู้จักกับคุณมีนามาก่อนหลังจากนั้น หลังจากนั้นก็ตัดสายโทรศัพท์ทิ้งไปทำให้คุณบินและคนเป็นพันรู้สึกสงสารคุณวีณามากจึงได้มีการช่วยเหลือเงินเป็นจำนวน 10,000 บาทโดยคุณวีณาบอกว่าจะนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายค่าเช่าห้องที่ค้างไว้รวมทั้งไปจ่ายค่าหนี้นอกระบบและถ้าหากมีเงินเหลือก็จะเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัวในการซื้ออาหารกินเพราะตัวเธอนั้นไม่สามารถสร้างอาหารเองได้

 

สนับสนุนโดย  เว็บ rb88

มาอีกแล้วปัญหาเพื่อนบ้านทะเลาะกันเพราะการจอดรถเหลื่อมล้ำขวางหน้าบ้าน 

           เจ้าหน้าที่ตำรวจสน. ท่าข้ามได้รับแจ้งเหตุมีคนทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งจึงได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบซึ่งเมื่อไปถึงทางคู่กรณีทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันไปเรียบร้อยแล้วแต่ทางฝั่งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและมีการแจ้งความและลงบันทึกประจำวันเอาไว้

เพื่อต้องการให้ดำเนินคดีกับอีกฝ่ายหนึ่งให้ถึงที่สุดซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากว่าบ้านของผู้บาดเจ็บและผู้ที่ลงมือทำร้ายนั้นอยู่บ้านติดกันซึ่งโดยปกติแล้วบ้านทั้งสองหลังก็คุยกันด้วยดีมาโดยตลอดจนมีวันนี้ที่เกิดเหตุนั้นเนื่องจากว่าครอบครัวของบ้านผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นก็คือนางสุนีย์

ได้มีญาติๆมาเยี่ยมจึงมีการจอดรถเกินไปบริเวณหน้าบ้านของอีกฝั่งหนึ่งประมาณ 10 เซนติเมตรซึ่ง คู่กรณีนั้นเป็นคนจีนเมื่อเดินทางมาถึงก็ได้ให้รปภมาเรียกบ้านของคุณสุนีย์ว่าให้มีการขยับรถเพราะมีการจอดรถขวางหน้าบ้านของเขาซึ่งครอบครัวทางของคุณสุนีย์เองก็ออกมาขยับรถให้แต่เกิดมีการปะทะกันเกิดขึ้น

เมื่อชายชาวจีนถามว่ามีอะไรซึ่งทางคุณชะนีเองก็ตอบกลับไปว่ามีอะไรหลังจากนั้นเมื่อชาวจีนจอดรถได้ก็ลงมาทำร้ายคุณสุนีย์ทันทีเป็นเหตุให้ญาติทั้งสองฝั่งต่างก็ตกลงโดนทำร้ายซึ่งกันและกันซึ่งครอบครัวของคุณสุนีย์นั้นได้รับบาดเจ็บมากที่สุดโดยสามีของคุณสุนีย์นั้นไหลโหลด

ส่วนคนนั้นก็เบ้าตาเขียวช้ำและลูกๆก็ได้รับบาดเจ็บบ้างเล็กน้อย  และที่สำคัญชายชาวจีนได้นำถังขยะมาทุบกระจกรถของทางบ้านคุณสุนีย์ให้ได้รับความเสียหาย  ซึ่งชาวจีนยังได้พูดเป็นภาษาจีนทำนองข่มขู่ว่ารู้จักกับตำรวจไทยและถ้ายังไม่เลิกราใช้ชาวจีนขู่จะฆ่ายกครอบครัวโดยข้อความนี้ลูกสาวคนเล็กของคุณสุนีย์

ซึ่งเรียนภาษาจีนมาสามารถไปออกได้จึงทำให้ครอบครัวของคุณสุนีย์เกิดความกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเองโดยเฉพาะลูกสาวคนกลางซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเนื่องจากว่าโดยปกติแล้วบ้านหลังนี้จะมีลูกสาวคนกลางอาศัยอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นเบื้องต้นทางครอบครัวคนจีนได้มีการติดต่อ

เพื่อทำการขอชดใช้ค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาลให้แล้วแต่ทางด้านครอบครัวของคุณสุนีย์นั้นไม่ยอมยอมต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุดดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ประสานงานให้ทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยปรับความเข้าใจกันรวมถึงกรณีที่ชาวจีนมีการแอบอ้างเรื่องของการรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ที่สนท่าข้ามและทางคุณสุนีย์เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายเพราะทุกคนก็สามารถอ้างว่ารู้จักกับตำรวจด้วยกันทั้งนั้นแต่จริงๆแล้วอาจจะไม่ได้มีการรู้จักสนิทสนมกันเลยก็ได้

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8 pc

ขึ้นโรงพักแจ้งความเท็จว่าถูกโจรปล้น

เล่นการพนันจนหมดตัวกลัวสามีว่าขึ้นโรงพักแจ้งความเท็จว่าถูกโจรปล้น

        เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อหญิงสาวคนนึงอายุ 29 ปีได้เดินทางมาแจ้งความที่สถานีตำรวจโดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตามจับกุมคนร้ายเป็นผู้ชายอ้วนคนนึงและผู้ชายผอมคนหนึ่งเธอกล่าวว่าทั้งสองคนนั้นได้มีการปล้นเอาเงินจำนวน 53,000 บาทของเธอไปซึ่งมันดังกล่าวนั้นเป็นงานที่สามีของเธอให้เธอไปกดมาจากตู้ ATM โดยหลังจากที่เธอออกมากดเงินที่ตู้ atm พร้อมกับลูกชายวัย 6 ขวบของเธอแล้ว

ขณะที่มีการขี่รถมอเตอร์ไซค์กำลังจะกลับบ้านนั้นก็มีผู้ชาย 2 คนขับรถมาประกบคู่พร้อมกับที่มาที่ล้อรถมอเตอร์ไซค์ของเธอซึ่งเธอก็ได้จอดรถเนื่องจากว่าคิดว่ามีอะไรติดอยู่ที่ล้อรถและเมื่อเธอจอดรถชายทั้งสองคนก็พากันที่เธอและนำเงินที่อยู่ในกระเป๋าของเธอไปทำให้เธอต้องมาแจ้งความที่สถานีตำรวจในครั้งนี้

ในการติดตามตัวคนร้ายเพื่อเอาเงินมาคืนซึ่งหลังจากที่เธอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความรู้สึกสงสัยในคำให้การของเธอจึงได้มีการสอบถามสักไปสักมาหลายรอบจนในที่สุดเธอก็สารภาพว่าเหตุการณ์ที่มีชาย 2 คนที่เธอไปนั้นไม่เป็นความจริงแต่ว่าเงิน 5 หมื่นกว่าบาทที่หายไปนั้น

เธอนำไปเล่นการพนันออนไลน์จะหมดซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินของสามีเธอจึงเกรงว่าสามีจะต่อว่าที่ไม่มีเงินไปคืนให้กับสามีทำให้เธอต้องหาอุบายมาแจ้งความที่สถานีตำรวจเพื่อที่จะได้นำใบแจ้งความไปให้ทางสามีเห็นว่าเงินที่หายไปนั้นเกิดจากการถูกปล้นซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งเข้าหาเธอในข้อหาแจ้งความเท็จ

         เหตุการณ์ในการเหตุเกิดขึ้นเพราะหญิงสาวนำเงินไปเล่นการพนันแล้วเกรงว่าสามีจะต่อว่าจึงได้ไปแจ้งความเท็จกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผลให้แทนที่จะโดนสามีด่าอย่างเดียวกลับต้องโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเข้าห้องขัง ที่นี่นอกจากสามีจะด่าเรื่องของการนำเงินไปเล่นการพนันแล้วยังจะต้องด่าเรื่องต้องหาเงินมาประกันมีออกจากคุกอีก

ด้วยซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ได้ไม่คุ้มเสียเลยจริงๆดังนั้นก่อนใครที่จะมีการนำเงินไปเล่นการพนันออนไลน์ควรจะมีการคิดให้รอบคอบว่าควรจะเล่นมากน้อยแค่ไหนถึงจะพอเหมาะเพื่อไม่ให้ตนเองและครอบครัวต้องเดือดร้อน

สำหรับการเล่นการพนันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่งซึ่งทุกคนต่างก็รู้ดีแต่เนื่องจากตอนนี้ช่องทางการหาเงินค่อนข้างมีน้อยงานการไม่ค่อยจะมีให้ทำสักเท่าไหร่นัดหลายคนจึงเลือกที่จะรวยทางลัดด้วยการเล่นการพนันหรือการซื้อหวยออนไลน์ซึ่งหากจะมีการเล่นจริงๆก็ต้องมีการควบคุมตนเอง

ไม่ให้เล่นมากจนเกินไปจนนำเงินที่มีอยู่ทั้งหมดไปเสียให้กับบ่อนการพนันแทนที่จะได้เงินกับนำพาเดือดร้อนมาให้ตนเองและครอบครัวได้

 

สนับสนุนโดย  คาสิโนออนไลน์