หมอกควันในลอนดอน

ในปัจจุบันนี้คนกรุงเทพก็ยังคงเจอปัญหาฝุ่นละอองPM2.5กันอยู่เลย

โดยที่ทางรัฐบาลไม่หัวซาและไม่แก้ไขและที่น่า เกลียดเลยก็คือเป็นการฉีดน้ำใส่เครื่องวัดฝุ่น 

แต่เมื่อเราย้อนกลับไปเมื่อ วันที่5ธันวาคม ปี1952แล้วที่ลอนดอนประเทศอังกฤษก็ได้มีหมอกควันเข้ามาแล้วเหมือนกันและในตอนนั้นผู้คนต่างก็คิดว่ามันคือหมอกบ้านๆธรรมดาเนี่ยแหล่ะไม่ต้องกังวนแต่อย่างใดและในช่วงเวลานั้นมันก็ได้เกิดขึ้นอยู่บ่อยเหมือนกันจนกลายเป็นเรื่องปกติของคนที่อาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน

ซึ่งก่อนที่จะรู้ตัวว่ามันคืออะไรก็ได้มีคนตายไปแล้วกว่า12,000คน ซึ่เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมานั้นมันก็เป็นมาจากฝีมือของมนุษย์ล้วน ๆและไม่ต้องไปโทษใครแถมยังเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกันซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดถูกเรียกว่าเดกรีนออฟ ลอนดอนจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดนั้น

เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมในช่วงเย็นๆที่มีอากาศปกคุมไปทั่วลอนดอนสิ่งที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลานั้นชาวบ้านต่างก็คิดกันว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นมาและด้วยความหนาวเย็นชาวบ้านก็เลยต้องพึ่งถ่านหินมากกว่าปกติเพื่อที่จะสร้างความอบอุ่นภายในบ้านนั้นเอง

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นจากหมอกควันธรรมดาที่ยังพอมองเห็นเส้นทางอยู่รางๆและมันก็เริ่มหนาขึ้นๆจากป่องไฟต่างๆที่ได้ขึ้นมาจากบ้านเรือนประชาชนก่อนที่มันจะเริ่มหนาขึ้นเรื่อยจนเอาไม่อยู่และในตอนนั้นเองทางรัฐบาลอังกฤษก็ได้ออกมาแก้ไข้สถานะการณ์เบี้ยงต้น

แต่หมอกควันที่เกิดขึ้นมานั้นมันก็ยังไม่หมดไปสักทีแถมมันยังไม่สามารถที่จะลอยขึ้นไปชั้นบรรยากาศได้เลยก่อนที่หมอกควันนั้นจะหนักขึ้นเรื่อยๆจนไม่สามารถที่จะมองเห็นทางข้างหน้าได้เลยส่วนระยะทางการมองเห็นนั้นก่อนอยู่ประมาณแค่เพียง10เมตรกว่าๆและการทำกิจกรรมกลางแจ้งหลายๆอย่าง

ก็ทำได้ยากขึ้นอย่างเชนงานฟุตบอลหรืองานคอนเสิร์ตก็ต้งถูกระงับไปในที่สุดก่อนที่คนในลอนดอนนั้นจะรู้ตัวมันก็สายก่อนไปสะแล้วเพราะว่าการสะสมของหมอกควันก็เริ่มที่จะหนักขึ้นไปอีกจนทำให้สุภาพคนในเมืองนั้นแย่ลงไปด้วย ส่วนเมืองที่อยู่ไกลลอนดอนมากที่สุดก็คือเมืองฟูแล่ม

ซึ่งมันเป็นการปล่อยมลพิษทางอากาศมากกว่า1,000ต่อวันซึ่งมันมาพร้อมกับก๊าซอันตรายต่อมนุษย์ทั้งสิ้นจากโรงงานถ่านหินต่างๆรอบลอนดอนและในระยะเวลาเพียงแค่3วันเท่านั้นจากวันที่5เข้าวันที่8ธันวาคม คนในลอนดอนนั้นก็เริ่มมีอากาศที่จะเริ่มหายใจลำบากมากขึ้นก่อนที่จะมีปัญหาทางด้านการหายใจไม่รับรู้กลิ่นอะไรทั้งสิ้นจน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  dewabet

ราคาและข้อดีข้อเสียของรถ Nissan NV

สำหรับรถยนต์รุ่นนี้ถ้าได้พูดถึงชื่อรถแล้วหลายคนก็อาจจะร้องอ๋อกันเลยที่เดียวเพราะว่ารถรุ่นนี้นั้นใครๆต่างก็รุ้จักกันดีเพราะว่ามันเป็นรถที่ไม่ใช่กะบะและรถเก๋งเท่าไหร่แต่ก็สามารถใช้ขับขี่ได้ดีเหมือนกันและสำหรับรถยนต์รุ่นนี้นั้นมันมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับรถยนต์สักเท่าไรแต่มันจะมีอะไรบ้างมีดังนี้

Nissan NV นิสสันเอ็นวี 

สำหรับนิสสันเอ็นวีตัวนี้ก็ต้องบอกเลยว่านิสสันเอ็นวีจริงๆแล้วมันำมันใช่รถเก๋งมันเป็นรถกะบะแต่มันก็ไม่ใช่รถกะบะงงกันใช่มั้ยว่ามันเป็นรถยนต์ประเภคไหนกันซึ่งมันก็ไม่ใช่รถเก๋งมันคือรถยนต์กึ่งๆรถเก๋งสำหรับรถกบะก้ได้รถเก๋งก็ดีแต่จริงใครเห็นก็จะบอกว่ามันเป็นรถกะบะแต่จริงๆแล้วส่วนตัวจะมองว่ามันเป็นรถเก๋งสำหรับนิสสันเอ็นวีมากับเครื่องยนต์GAถือว่าเป็นเคื่อยนต์ตะกูลเดียวกันกับนิสสันซันนี่

ซึ่งก็ถือว่าครบได้บอกเลยว่าครบได้หน้าเอามาใช้หน้าหาเอามาขับเล่นกันเลยทีเดียวและถ้าคุณคิดที่จะเอารถรุ่นนี้เอาไปขายของละก็จะบอกเลยว่าเป็นอะไรที่เหมาะเอามากๆเพราะว่ามันมีหลายรุ่นให้คุณนั้นได้เลือกกันไม่ว่าจะเป็นในรุ่นตอนเดียวตอนครึ่งหรือว่าจะเป็นรุ่นตัวแวนซึ่งมันกะมีเยอะแยมากมายหลายๆแบบให้คุณนั้นได้เลือกหาเอามาไว้ขับเล่นๆกันแต่พวกประมาณซิงเกิ้ลแค็บหรือจะเรียกมันว่าตอนเดียวก็คือราคามันจะเลตประมาณต่ำกว่า50,000ลงมาหรือว่าประมาณ50,000บวกลบบอกได้เลยว่ามันเป็นราคาที่คนธรรมดาจับต้องได้ในราคาที่พอได้ก็คือมันไม่ได้แพงอะไรมากนัก

แต่ถือว่าราคามันก็แข็งมากอยู่เหมือนกันเพราะผมเห็นในสภาพหลายๆปีมานี่มันก็จะอยู่ในราคาประมาณนี่ถือว่าซื้อไปบอกได้เลยว่ามันไม่ตกรุ่นถ้าซื้อไปราคามันก็จะยังอยู่แบบนี้ราคามันก็จะไม่ค่อยตกมากสักเท่าไหร่และก็สำหรับเรื่องของอะไหล่เซอร์วิสก็สามารถที่จะหาได้ไม่ยากมาก

นักสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ซึ่งมันมีดีอะไรกันสำหรับรถยนต์รุ่นนี้มันมีข้อดีสำหรับคนที่อยากได้รถกะบะและก็ยังที่อยากจะได้รถเก๋งสำหรับในการขับขี่รถยนต์รุ่นนี้นั้นมันก็อาจจะเหมือนรถเก๋งแต่ว่ามันก็มีการใช้งานได้เหมืนอย่างกะบะนั่นเองในอารมณ์นี้ถามว่ามันดีไหมถ้าบอกส่วนตัวเลยมันก็ดีในระดับหนึ่งเลยแหล่ะ

แต่ว่าสำหรับเรื่องช่วงล่างและสมรรถนะความเร็วอะไรมากมายต่างๆมันก็อาจจะไม่ค่อยจะตอบโจทยเท่าไหร่สำหรับสายซิ่งสายหมอบกันสักเท่าไหร่ก็คือ ซื้อเอาไว้ใช้งานได้ที่เกี่ยวกับใช้งานแบบไม่หนักมากนักเหมาะสำหรับแต่งสวยได้มันก็พอไหวแต่ถ้าจะให้เอารถไปใช้งานแบบหนักๆเลยมันก็ไม่ไหวเพราะมันเป็นรถที่กึ่งเก๋งกึ่งกะบะ

ปัญหาที่สังคมโลกและสังคมไทย รอคำตอบ

ปัญหาใหญ่ของโลก-ไทยที่ยังรปัญหาที่สังคมโลกและสังคมไทย รอคำตอบอคอยคำตอบ ทั้งยังเรื่องปัญหาโลกร้อน ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคม รวมทั้งวิกฤติของการบ้านการเมืองในระบบประชาธิปไตย

ในบทความแรกของคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ปีนี้ ผมต้องการเริ่มด้วยข้อคิดเตือนใจของนักเศรษฐศาสตร์ รางวัลโนเบิล ศาสตราจารย์โจเซฟ สติกลิสต์ (Joseph Stiglitz)

ที่ได้ให้เอาไว้ในข้อเขียนของเขาเมื่อพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ที่กล่าวถึงความเหมาะสมของรายได้ประชาชนชาชาติ หรือ GDP ที่จะเป็นตัววัดกิจกรรมด้านเศรษฐกิจรวมทั้งความรุ่งโรจน์ของสังคม โดยพูดว่า โลกของพวกเราในตอนนี้กำลังเหน็ดเหนื่อยด้วยสามปัญหาที่สำคัญที่กำลังบ่อนทำลายการดำรงชีวิตของสังคมโลกรวมทั้งมวลมนุษยชาติ คือปัญหาที่ไม่มีคำตอบ

ปัญหาแรก เป็นปัญหาโลกร้อน สองเป็นปัญหาความแตกต่าง รวมทั้งสามเป็นวิกฤติของการบ้านการเมืองในระบบประชาธิปไตย

อีกทั้งสามปัญหาง่อนแง่นความรู้ความเข้าใจของเศรษฐกิจทั่วทั้งโลกที่จะเติบโต คลอนแคลนความมุ่งมาดที่คุณประโยชน์จากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะสามารถแบ่งปันใหักับคนภายในสังคมได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งโหยกเหยกความเลื่อมใสที่ว่า การบ้านการเมืองในระบบประชาธิปไตยที่สามัญชนมีส่วนร่วมจะเป็นกลไกที่สังคมสามารถใช้ขจัดปัญหาที่สังคมมี

สามปัญหานี้เป็นปัญหาที่คนทั้งโลกอยากได้คำตอบ มองเห็นได้จากปีที่ผ่านมาที่เป็นปีของการต่อต้านที่ราษฎรจากทุกส่วนของโลกออกมาเรียกร้องในหัวข้อกลุ่มนี้ เป็นปัญหาที่สังคมไทยเองก็ปรารถนาคำตอบว่า พวกเราจะเริ่มปรับแต่งผลร้ายที่มีต่อสภาพแวดล้อมจากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจแล้วก็ปัญหาโลกร้อนได้หรือยัง พวกเราจะทำเช่นไรกับความแตกต่างในประเทศที่มีมากมาย และก็พวกเราจะทำเมืองของประเทศให้ตอบปัญหาปัญหาที่ประเทศมีได้ยังไง เพื่อการบ้านการเมืองเป็นความหวังให้กับการจัดการปัญหา

ปัญหาโลกร้อน คนภายในบ้านพวกเราโดยมากคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว คือเรื่องของบุคคลอื่น และไม่ใช่เรื่องด่วน แต่ว่าผลจากสภาวะโลกร้อนได้เข้ามากระทบชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเรามากยิ่งขึ้นจนกระทั่งสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของอากาศ สภาวะน้ำหลากสลับกับภัยแล้งแบบปีต่อปี รวมทั้งปัจจุบันที่พวกเราพบด้วยตัวเองทุกคนเป็น ฝุ่นละอองแล้วก็ปัญหาประสิทธิภาพอากาศที่พวกเราหายใจ ปัญหาพวกนี้นับวันจะร้ายแรงและก็เกิดขึ้นหลายครั้ง กระทั่งปีที่ผ่านมากล่าวได้ว่าเป็นปีศูนย์หรือปีขึ้นต้นของภัยจากสภาวะโลกร้อนที่โลกจะสัมผัสความร้ายแรงของปัญหาเยอะขึ้นนับจากนี้

ปีที่ผ่านมา พวกเราเริ่มปีด้วยอากาศร้อนระอุที่ประเทศออสเตรเลียเฉลี่ยกว่า 40 องศา และก็ร้อนนานเป็นเดือน เมื่อโลกร้อนและก็อุณหภูมิสูงมากขึ้น ภูเขาที่เป็นน้ำแข็งก็ถูกทำลาย ความสมดุลระหว่างสายน้ำอุ่นน้ำเย็นในมหาสมุทรถูกกระทบ พวกเราก็เลยมองเห็นการเกิดขึ้นของพายุไซโคลนที่ร้ายแรง สภาวะอากาศที่สุดโต่ง เป็นร้อนจัดและก็หนาวมากมาย แล้วก็ไฟลุกป่าที่หยุดยาก เพราะว่าอากาศที่ร้อนได้ทำลายความชุ่มชื้นของพื้นดิน ปัจจุบันก็ที่ประเทศออสเตรเลียที่ไฟป่ายังไม่เลิก กระทบการดำรงชีวิตของคนและก็สัตว์ที่จะต้องอาศัยป่าเป็นที่พักที่อาศัย นี่เป็นความร้ายแรงของสภาวะโลกร้อนที่พวกเรามองเห็นเมื่อปีที่ผ่านมาตลอดทั้งปี และก็จะมองเห็นเยอะขึ้นเรื่อยๆในปีนี้รวมทั้งปีต่อๆไป